วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พระราชวังเครมลิน ( Kremlin Palace )

       พระราชวังเครมลิน ( Kremlin Palace )  พระราชวังเครมลิน คลังหรือป้อมแห่งมอสโก ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ริมฝั่งแม่น้ำมอสโก (มอสควา) ซึ่งแยกมาจากแม่น้ำวอลก้าร์สายเลือดใหญ่ของสหภาพโซเวียต รุสเซีย เป็นพระราชวังที่มีความ สำคัญยิ่งใหญ่มาแต่โบราณ
        ภายในพระราชวังมโหฬารแห่งนี้ประกอบด้วยปราสาทราชฐาน โบสถ์ วิหาร พิพิธภัณฑ์ คลังแสง อาวุธยุทธภัณฑ์ หอคอย ป้อมปราการ หอสูง ยอดแหลม และโดมมากมาย มีกำแพงสูง 65 ฟุตรอบพระราชวัง มีความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร

                        

       พระราชวังเครมลินมีสถานที่สำคัญ คือ พระราชวังจักรพรรดิอยู่ตรงกลาง หอคอยอิวานเวลิกี้สูง 270 ฟุต เป็นที่แขวนระฆังของพระเจ้าโบริสดูนอฟ ผู้อยู่บนหอคอยจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพกรุงมอสโกที่สวยงาม ได้อย่างชัดเจน บรรดาหอคอย หอสูง โดม ป้อมปราการเหล่านี้เมื่อแสงพระอาทิตย์กาดมาต้อง จะแลเห็นเป็นสีทอง เปล่งปลั่งสุกอร่ามงามตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

                        

       ประตูสำคัญ คือ ประตูโปรดชำระบาป ซึ่งพระเจ้าซาร์อะเล็กซิส โปรดให้สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1491 โปรดให้ติดโคมใหญ่ไว้บนยอดดวงหนึ่ง ประตูนี้เคยมีพระบรมราชโองการรับสั่งให้ผู้ผ่านเข้าออกต้องถอดหมวก แสดงความเคารพ ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกจับประหารชีวิต ถัดไปไม่ไกลมีมหาวิหารอัครเทวทูต ซึ่งมีที่ตกแต่งไว้อย่างงดงาม เพื่อใช้เป็นสุสานฝังพระศพของพระเจ้าซาร์ทุกพระองค์ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์อัสสัมชัญซึ่งสร้างไว้อย่างประณีตบรรจงเป็นพิเศษ

                         

                          

แมตเตอร์ฮอร์น ( Matterhorn )

       แมตเตอร์ฮอร์น ( Matterhorn )  แมตเตอร์ฮอร์น (Matterhorn) เป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงมากในเทือกเขาแอลป์ (Alps) ตั้งอยู่ระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี รูปทรงปิรามิดที่งดงามตั้งอยู่บนพื้นที่ Zermatt ในส่วนเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ และ Breuil-Cervinia ใน Val Tournanche ในส่วนเมืองของอิตาลี
        รูปทรงพีระมิด ตั้งตระหง่านเหมือนยื่นไปสู่ท้องฟ้ามากกว่าบยอดเขา ของเทือกเขาแอลป์ยอดอื่นๆ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การพยามเข้าสู่ภูเขา ทั้ง Mattertal จากทิศเหนือ ,Valtournanche จากทิศใต้ คนโบราณบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องเล่าแห่งความมืดอันความน่ากลัว ของหายนะว่าจะเกิดขึ้นกับบุคคลที่เข้าใกล้มันอย่างแน่นอน มีเรื่องเกี่ยวกับเมืองที่ถูกทำลายและถูกฝังภายใต้ก้อนหิมะ ความเห็นเพิ่มเติมของไกค์ผู้ผ่านประสบการณ์ใน Zermatt ฝั่งของสวิตเซอร์แลนด์ ว่าภูเขาสูงชัน จากแนวหน้าผาที่ราบเรียบตั้งแต่ฐานถึงจุดยอดทำให้ไม่สามารถปีนได้ ภูเขามีสี่ด้านพื้นหน้าของสูงชันอันตรายมีเพียงแผ่นหิมะและแผ่นน้ำแข็งเล็กๆ เกาะยึด ส่วนใหญ่แมตเตอร์ฮอร์นเป็นภูเขาของเทือกเขาแอลป์สุดท้ายที่จะถูกปีน เพราะต้องใช้เทคนิคยุ่งยากแต่ความน่าเกรงขามจะเป็นดลใจสำหรับนักปีนเขาได้เช่นกัน เริ่มต้นครั้งแรกประมาณปี 1858 จากชาวอิตาเลียนจำนวนมากแม้จะติดขัดจะเกิดขึ้นมากมาย ที่พวกเขาพบบ่อยๆ คือความลำบากกับหินที่ลื่น

                         

                          

        แชร์มัตต์ (Zermatt) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เมื่อมองจากฝั่งนี้จะมองเห็นรูปทรงปิรามิดของแมตเตอร์ฮอร์นที่ตั้งอยู่โดดๆ เชื้อเชิญให้มาเยือน และนั่งรถกระเช้าขึ้นไปถึงสถานี Trockener Steg ที่ความสูง 2,939 เมตร เป็นจุดที่เห็นแมตเตอร์ฮอร์นได้ชัดเจนที่สุด มองจากด้านทิศตะวันออกของแมตเตอร์ฮอร์นเป็นภาพสะท้อนผิวน้ำทะเลสาป Riffelsee

                           

       ปัจจุบันทั้งสันเขาและพื้นหน้าทุกด้านของแมตเตอร์ฮอร์น ถูกปีนขึ้นในทุกฤดู และการแนะนำการการปีน โดยมาตราฐานสมัยใหม่,เทคนิคการปีนที่ง่าย ,การใช้เคเบิ้ลคาร์

                            

ปอมเปอี ( Pompeii )

       ปอมเปอี ( Pompeii )  ปอมเปอี เป็นเมืองโบราณสมัย 2,000 ปีมาแล้ว อยู่ที่เชิงภูเขาไฟวิสุเวียส ประเทศอิตาลี ซึ่งถูกภูเขาไฟลูกนี้ระเบิดเอาดินโคลน เถ้าถ่าน และหินละลายทับถมจมลงไปในดินในชั่วเวลาไม่กี่นาทีเมื่อ พ.ศ.662 ประชาชนนับหมื่นต้องถูกฝังทั้งเป็นตายด้วยความทุกข์ทรมานโดยที่ไม่มีใครมีโอกาสหนีรอดออกมาได้เลย และหลังจากนั้นปอมเปอีก็ถูกลืมไปจากความทรงจำของชาวโลก

                            

       ต่อเมื่อได้มีการฟื้นฟูศึกษาประวัติศาสตร์โบราณขึ้นชื่อปอมเปอีจึงถูกค้นพบ แต่ก็ไม่มีใครทราบได้ว่าเมืองนี้อยู่ที่ไหน จนกระทั่ง พ.ศ. 2291 จึงได้พบร่องรอยของซากเมือง และมีการขุดค้นกันเมื่อก่อนหน้ามหายุทธสงครามโลกครั้งที่ 2 เล็กน้อย เมื่อรื้อดินที่ทับถมออกมาหมดแล้ว ก็พบซากเมืองที่ใหญ่โต และสร้างด้วยหินอย่างแข็งแรง บางแห่งพบซากชาวปอมเปเอียนและสัตว์เลี้ยงของเขาที่ตายและกลายเป็นหิน ซึ่งคงอยู่ในสภาพเกือบเหมือนเดิมทุกประการ แต่ทว่าจากภาพนั้น จะเห็นลักษณะของความหวาดกลัวต่อความตายได้เป็นอย่างดี บางคนนั่งเอามือปิดหน้าตาย และบางคนซบหน้ากับกำแพงบ้านตายก็มี ปอมเปอีจึงได้ชื่อว่า ซากเมืองแห่งความตาย

                                

                               

วิหารนักบุญปีเตอร์ ( Saint Peters Basilica )

       วิหารนักบุญปีเตอร์ ( Saint Peters Basilica )    วิหารนักบุญปีเตอร์อันโอฬาร เป็นจุดสำคัญของนครวาติกัน แม้วิหารนี้จะก่อสร้างด้วยฝีมือ เลอเลิศเป็นพิเศษเท่าที่จะทำได้ แต่การเริ่มต้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นสามัญธรรมดา ใน ค.ศ. 90 สันตะปาปาอนาคลีตุส ได้สร้างหอพระขนาดย่อมตรงตรงที่ฝังศพของนักบุญปีเตอร์ หลังจาก ทนทุกข์ทรมานเพื่อพระเจ้าจนสิ้นชีวิต
        ต่อมาสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งยอมรับศาสนาคริสเตียนมาเป็นของชาวโรมันได้สร้าง เป็นตึกเหลี่ยมขนาดใหญ่ ณ ที่นี้เองพระเจ้าชาร์ลมาญผู้ช่วยยุโรปให้พ้นภัยจากการรุกรานของคนเถื่อนและสร้าง ความเจริญก้าวหน้าให้หลังจากชะงักงันชั่วระยะหนึ่ง ได้สวมมงกุฎสถาปนาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

                                      

       ตัวตึกอันเป็นวิหารปัจจุบันสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 15 สมัยสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ผู้อุปถัมภ์ ศิลปินลือนามจำนวนมากมาย สันตะปาปาองค์นี้ทรงเห็นว่าอาณาจักรคริสเตียนจะต้องมีสำนักงานใหญ่ ไว้เก็บรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐาน การก่อสร้างจึงได้เริ่มขึ้น ณ บัดนั้นและสร้างต่อ ๆ กันมาถึง 300 ปี จึงสำเร็จบริบูรณ์
       รูปแบบการก่อสร้างเป็นแบบกรีกสมัยยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ผู้ที่เน้นแบบกรีกให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้แก่ ไมเคิล แอนเจโล มาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้เพิ่มเติมศิลปะแบบละติน(โรมัน) รวมเข้าไปดังที่เห็นในปัจจุบัน การตกแต่งภายในอาศัยอัจฉริยะยอดเยี่ยมของศิลปินเอกหลายท่าน เช่น ราฟาเอล และเบอนินี เป็นต้น การจัดระเบียบที่นั่งที่ประชุมภายในงทำได้สัดส่วนสวยงาม มีรูปปั้นของนักบุญถึง 96 องค์ ตรงกลางจัตุรัส มีเสาเหลี่ยมแหลมสูงใหญ่ซึ่งจักรพรรดิคาลิคูลาโปรดให้นำมาจากเฮลิโอโปลิส

                           

       หองามมหัศจรรย์คู่แข่งเคียงกับวิหาร คือ หอซิสไตน์ ที่ประทับส่วนพระองค์ของสันตะปาปา สร้างใน ค.ศ.1481 ภาพประดับภายในห้องและที่กำแพงเป็นฝีมือของไมเคิล แอนเจโล ชิ้นเอกและมหัศจรรย์ ในโลก ในห้องใช้เวลาเขียน 4 ปี ส่วนที่กำแพงผนังใช้เวลา 6 ปี ภาพที่ประทับใจชาวโลก ได้แก่ภาพ "การตัดสินครั้งสุดท้าย"
       พิพิธภัณฑ์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประทับขององค์สันตะปาปาล้วนเป็นสิ่งมีค่ามีชื่อเสียง เกียรติประวัติอันมหัศจรรย์ของวาติกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมบัติโลก เช่น หนังสือ รูปปั้น ปฏิมากร เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เครื่องเรือน เครื่องประดับ แผนที่ซึ่งได้มาจากนักสำรวจ มิชชันนารี(หมอสอนศาสนา) พระราชา จักรพรรดิ และจากบุคคลทั่วไปที่มาเยี่ยมเยียน 

                           

                            

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พระราชวังอัลฮามบรา ( Alhambra Palace )

       พระราชวังอัลฮามบรา ( Alhambra Palace ) ในประเทศสเปนตอนใต้มีพระราชวังที่พวกอาหรับมาสร้างไว้อย่างวิจิตรพิสดารงดงาม เป็นที่เลื่องลืออยู่แห่งหนึ่งคือพระราชวังอัลฮามบรา ที่เมืองกรานาดา ตัวพระราชวังอยู่ บนเนินเขาเซียราเนวาดา มองลงไปรอบ ๆ แล้วจะได้พบทิวทัศน์ที่งดงามมาก
        พระราชวังแห่งนี้มีลักษณะเป็นป้อมด้วย ภายในประดับประดาหรูหราแบบ สถาปัตยกรรมของพวกแขกมัวร์ สร้างในระหว่างคริสเตียนที่ 14 หลังจากคริสเตียนได้ยึด คอร์โดบาและตีสเปนกลับคืน พวกอาหรับถอยไปยึดเมืองกรานาดาเป็นเมืองหลวงและสร้าง ปราสาทราชวังแบบอาหรับที่คิดว่าควรจะสร้างขึ้น ภายในเวลาไม่ถึงร้อยปีก็หมดอำนาจพ่ายแพ้ แก่กองทัพของพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ และพระราชินีอิซาเบลลา ผู้โด่งดังของสเปน การรบขั้นแตกหัก กระทำในปี ค.ศ. 14921 อาหรับพ่ายแพ้เด็ดขาด


                         

        แม้ว่าความงามอันเป็นเอกบางส่วนถูกทอดทิ้งและบางอย่างถูกทำลาย โดยพระราชโองการ ของจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ 5 เพื่อเอาศิลปะแบบอิตาลีเข้าไปเสริมแทรกไว้ก็ตาม แต่ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ ยังสร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชาวโลกอย่างมาก
        เขตพระราชวังประกอบขึ้นด้วยส่วนที่เป็นป้อมปราการ มีกำแพงและหอรบสร้างด้วยหินสีแดง ทำให้ได้ชื่อในภาษาอาหรับว่า "กาลัตอัลฮามบรา" ซึ่งแปลว่าป้อมแดง ภายในกำแพงเป็นเชิงเทิน และตัว พระราชวังอัลคาซาร์ ซึ่งประกอบด้วยหน้าพระลาน ท้องพระโรง เมื่อผ่านประตูแห่งความยุติธรรมจะถึงลานมาลี และลานสิงห์อันมีชื่อเสียง บริเวณรอบ ๆ เป็นสนามกว้างใหญ่มีหินอ่อนแกะสลักประดับไว้อย่างสวยงาม ถึง 124 แผ่น มีน้ำพุตรงกลางที่ฐานน้ำพุมีสิงโตหินอ่อนหมอบอยู่ 12 ตัว แต่ละด้านของพระราชวังประดับประดา ไว้อย่างวิจิตรพิสดาร มีห้องมุข ห้องชุด สนามหญ้า พระแกล พระทวาร ผนังกำแพง ภายในได้มีการแกะสลักลวดลายไว้ด้วย ความปราณีตงดงาม ภายในพระอุทยานมีดอกไม้หอมกลิ่นต่าง ๆ ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืนถึงกับมีนักแต่งเพลงคนสำคัญที่เคยเยี่ยมเยียนได้แต่งเพลง "ราตรีที่กรานาดา" ไว้เป็นทีระลึก และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก

                            


                                               




หอไอเฟล ( Eiffel Tower )

       หอไอเฟล ( Eiffel Tower ) หอไอเฟล (Eiffel) สัญลักษณ์ของนครปารีส สร้างขึ้นใน ค.ศ.1887-9 ออกแบบโดยวิศวกรที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี 1889 (พ.ศ. 2413) ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม
        ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบว่า ทำลายความงดงามของกรุงปารีสด้วยโครงเหล็กน่าเกลียด อยู่ ๆ มีโครงเหล็กสูงโด่งขวางตาพวกเขา เพราะมันทำขึ้นจากโลหะ 15,000 ชิ้น หนักถึง 7,000 ตัน ยึดต่อด้วยน๊อต 3,500,000 ตัว สีทาทั้งหมด 35 ตัน สูง 1,050 ฟุต สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,799,401 ฟรังก์ เสียเวลาสร้าง 1 ปี มีลิฟต์พาชมวิวได้สูงถึงยอดหอซึ่งมีร้านอาหารที่สามารถนั่งชมวิวได้ทั่วทั้งกรุงปารีส และชมความงามของแม่น้ำเซนด้วย สุดท้ายหอไอเฟลกลับเป็นสถานที่ยอดนิยม ใครต่อใครที่มาปารีสต้องถ่ายรูปด้วยตามธรรมเนียม หอนี้เคยเป็นอาคารสูงที่สุดในโลกสมัยแรก จนกระทั่งตึกเอ็มไพร์เสตท สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1931

                                     


       ในวันที่อากาศดีอาจขึ้นไปชมวิวได้ถึงชั้นสูงสุดที่ 899 ฟุต ยามค่ำคืน หอไอเฟลจะเปิดไฟสวยงามมาก และมุมที่ดีที่สุดที่จะถ่ายภาพหอไอเฟล คือ บริเวณ Trocadero มีทั้งร้านขายของที่ระลึก และภัตตาคาร เปิดทุกวันเวลา 9.30-23.00 น. ค่าขึ้นลิฟต์ชม ชั้นแรก 20 ฟรังค์ ชั้นแรกและชั้นสอง 42 ฟรังค์ ชั้นแรก/ชั้นสอง/ชั้นสาม 59 ฟรังค์
                                         
                                          


                                         

วิหารพาร์เธนอน ( Parthenon )

       วิหารพาร์เธนอน ( Parthenon )  วิหารพาร์เธนอน เป็นวิหารที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในด้านความงดงามและความมีสัดส่วนเหมาะเจาะสมบูรณ์ มีขนาดกว้าง 100 ฟุต ยาว 230 ฟุต และสูง 65 ฟุต เป็นศิลปะแบบดอริก ออกบบโดยสถาปนิกชื่อ อิคตินุส (Ictinus) และ คาลลิคราเตส (Callicrates) ซึ่งดำเนินการก่อสร้างภายใต้การควบคุมของประติมากรชื่อ พิดิอัส (Phidias)

                                            

       ซากที่ยังเหลือให้เห็น ก็คือ โครงสร้างที่ค้ำด้วยเสาหินอ่อน สีอมชมพู และหน้าบันบางส่วน ส่วนภายในเคยมี ประติมากรรม เทพีอาธีนา ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ วิหารนี้ใช้เป็นที่บวงสรวง เทพีอาธีนา ต่อมาใช้เป็นโบสถ์ของชาว คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น โบสถ์คาทอลิก จนกระทั่งในยุคที่ ชาวเติร์ก ครองเมืองถูกดัดแปลงมาเป็น มัสยิด และในที่สุดก็ถูกใช้เป็นที่เก็บดินปืน ในสงครามระหว่างเติร์ก กับ เวเนเชี่ยน (Venetian) ทำให้ถูกระเบิดเสียหายไปบางส่วน และ วิหารพาร์เธนอน มาทรุดโทรมอย่างหนัก เมื่อคราวสงครามกอบกู้อิสรภาพของกรีก จาก เติร์ก

                                    


                                     

สุเหร่าเซนต์โซเฟีย ( Mosque of Hagia Sophia (Istanbul) )

       สุเหร่าเซนต์โซเฟีย ( Mosque of Hagia Sophia (Istanbul) ) สุเหร่าเซนต์โซเฟีย(Saint Sophia) หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะเกิดการขัดแย้งระหว่าง พวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม
                           
                            

       จนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียน มีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ 1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหา สิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย สร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่าง มโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิม
 เมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนา อิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม

                        

       สุเหร่าเซนต์โซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตร และ ประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) มียอดเป็นโดม คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลม ๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียน ผสมกับอิสลามนี้เองทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์

                       

พระราชวังแวร์ซายส์ ( Palace of Versailles )

       พระราชวังแวร์ซายส์ ( Palace of Versailles )   เป็นพระราชวังที่สวยงามมากสร้างขึ้นโดย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีนายช่างสถาปนิก อัลเดรด เลอ นอสเตอร์ เป็นผู้ออกแบบ ลงมือสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2204 (ค.ศ. 1661) สร้างอยู่นาน เวลา 30 ปี สิ้นเงินค่าสร้าง 500,000,000 ฟรังก์ ใช้คนงาน 30,000 คน ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างและศิลปกรรมก่อสร้างที่งดงามมาก

                                

       ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ เช่น มีห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ห้องทรงพระอักษร ห้องโถง ห้องออกว่าราชการ ฯลฯ แต่ละห้องมีเครื่องประดับมีค่ามากมาย ทั้งวัตถุ และ ภาพเขียนศิลปะที่มีชื่อเสียง ห้องที่มีชื่อที่สุด คือ ห้องกระจกที่เคยใช้ลงนาม เซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตร กับเยอรมัน ในคราวมสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ใช้ลงนามในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ในการทำสงครามใหญ่ทุกครั้งฝรั่งเศส จึงต้องประกาศให้ปารีสเป็นเมืองปลอดทหารคือ ไม่มีทหารตั้งอยู่ ไม่มีการต่อสู้ใด ๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อรักษาไม่ให้พระราชวังแห่งนี้ ต้องได้รับความเสียหายจากการโจมตี ของข้าศึกไม่ว่าโดยทางใด ทุก ๆ ปีจะมีนัก ปจจุบันเป็นสถาปัตยกรรมมีค่าที่สุดของฝรั่งเศส และโลก ที่มีนักท่องเที่ยวไปชมความงามไม่น้อยกว่า 1,000,000 คน ต่อปี

                                   


                                   

กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )

       กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์  ( Stonehenge ) กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรี ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วยแนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราว ๆ 3 กิโลเมตร และ มีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน



      วงกลมรอบนอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต
      วงกลมรอบกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต
      วงในสุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน



       มีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างที่โดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมา ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ที่น่าแปลกก็คือ ในริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่น ๆ อีกเลย จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้นมาจากไหน และไม่ปรากฏว่ามีการขน หรือสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้าง บริเวณที่ดังกล่าว ใช้อะไรยกหินก้อน ที่หนัก ๆ หลาย ๆ ตันขึ้นวางซ้อนกันได้ ซึ่งอยู่สูงถึง 13 ฟุต นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่ท้าทายความอยากรู้ของมนุษย์ยุคปัจจุบันยิ่งนัก
                                           

                                            

หอเอนเมืองปิซา ( Leaning Tower of Pisa )

       หอเอนเมืองปิซา ( Leaning Tower of Pisa )  หอเอนแห่งเมืองปิซา เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร ( 181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวานานถึง 176 ปี

       ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร( 14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง



วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สนามกีฬากรุงโรม ( Colosseum of Rome )

       สนามกีฬากรุงโรม ( Colosseum of Rome )สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่างสิพ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80)


       ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมากทปีๆธิหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน             

                               

        สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลงชัก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน
        ในปัจจุบันยเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม